บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
เวลาเรียน 8.30-12.30 น.
เนื้อหาที่เรียน
ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแบ่งได้เป็น
2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
๐ เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
-เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
-มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
➩ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
-พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
-เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
-อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
-มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
-จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
-มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
-มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
-เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
-มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
-ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
๐ เด็กฉลาด
-ตอบคำถาม
-สนใจเรื่องที่ครูสอน
-ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
-ความจำดี
-เรียนรู้ง่ายและเร็ว
-เป็นผู้ฟังที่ดี
-พอใจในผลงานของตน
๐ Gifted
-ตั้งคำถาม
-เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
-ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
-อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
-เบื่อง่าย
-ชอบเล่า
-ติเตียนผลงานของตน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
๐ เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
-เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
-มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
➩ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
-พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
-เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
-อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
-มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
-จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
-มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
-มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
-เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
-มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
-ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
๐ เด็กฉลาด
-ตอบคำถาม
-สนใจเรื่องที่ครูสอน
-ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน
-ความจำดี
-เรียนรู้ง่ายและเร็ว
-เป็นผู้ฟังที่ดี
-พอใจในผลงานของตน
๐ Gifted
-ตั้งคำถาม
-เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
-ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
-อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
-เบื่อง่าย
-ชอบเล่า
-ติเตียนผลงานของตน
ตัวอย่างเด็กอัจฉริยะ
คิม อึงยอง Kim Ung-yong เป็นเด็กที่มี IQ สูงที่สุดในโลกและเป็นยอดอัจฉริยะระดับโลก |
Akrit Jaswal เด็กที่มีความสามารถทางการแพทย์ ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ |
Elaina Smith เด็กอายุ 7 ขวบ มีความสามารถในการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต และจัดรายการวิทยุ |
เด็กชาย ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี อัจฉริยะเด็กไทยที่มีความสามารด้านศิลปะ |
1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
8. เด็กออทิสติก
9. เด็กพิการซ้อน
หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
๐ เด็กเรียนช้า
- สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ
71-90
➪สาเหตุของการเรียนช้า
-ภายนอก
-ภายใน
1. ภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
- ระดับสติปัญญาต่ำ - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- อาการแสดงก่อนอายุ
18 - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
➪พฤติกรรมการปรับตน
-การสื่อความหมาย
-การดูแลตนเอง
-การดำรงชีวิตภายในบ้าน
-การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
-การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
-การควบคุมตนเอง
-การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
-การใช้เวลาว่าง
-การทำงาน
-การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
๐ เด็กปัญญาอ่อน
➠แบ่งตามระดับสติปัญญา
(IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
-
ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
- ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
-ไม่สามารถเรียนได้
ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
-กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า
C.M.R
(Custodial Mental Retardation)
3.
เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
- พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย
ๆ ได้
- สามารถฝึกอาชีพ
หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
- เรียกโดยทั่วไปว่า
T.M.R
(Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย
IQ 50-70
-เรียนในระดับประถมศึกษาได้
-สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย
ๆ ได้
-เรียกโดยทั่ว
ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
⇨ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
-ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
-ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
-ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย
รอคอยไม่ได้
-ทำงานช้า
-รุนแรง ไม่มีเหตุผล
-อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
-ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ
-ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
-ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21
เกินมา 1 แท่ง
(Trisomy 21)
อาการ
-ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น -อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก -ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ
รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
-มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น -เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน -ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น
ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร -บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ -มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2
กว้าง -มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
-การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
-อัลตราซาวด์ -การตัดชิ้นเนื้อรก -การเจาะน้ำคร่ำ
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ
ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ
เด็กหูหนวก
๐ เด็กหูตึง
หมายถึง
เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง
จำแนกกลุ่มย่อยได้
4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่
26-40 dB
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น
เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่
41-55 dB
-
เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง
3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
- จะไม่ได้ยิน
ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
-
มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย
เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก
ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
- เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
- มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
- มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
- พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่
71-90 dB
- เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
- ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ
1 ฟุต
- การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
- เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
- เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ
บางคนไม่พูด
๐ เด็กหูหนวก
- เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
⇨ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
-ไม่ตอบสนองเสียงพูด
เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
-ไม่พูด
มักแสดงท่าทาง
-พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
-พูดด้วยเสียงแปลก
มักเปล่งเสียงสูง
-พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
-เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด
หรือจ้องหน้าผู้พูด
-รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน
และการเคลื่อนไหวรอบตัว
-มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง
เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10
ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
➠จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
๐ เด็กตาบอด
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 ,
20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า
5 องศา
๐ เด็กตาบอดไม่สนิท
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ
6/18,
20/60,
6/60,
20/200
หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน
30 องศา
⇨ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
-เดินงุ่มง่าม
ชนและสะดุดวัตถุ
-มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
-มักบ่นว่าปวดศีรษะ
คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
-ก้มศีรษะชิดกับงาน
หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
-เพ่งตา
หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
-ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
-มีความลำบากในการจำ
และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
-----------------------------------------------------------------
หลังจากเรียนเสร็จแล้ว นักศึกษาก็นำพวงมาลัยมาไหว้อาจารย์เบียร์และอาจารย์บาส เนื่องในวันครู ทุกคนต่างตั้งใจ และมีความสุข
การนำไปประยุกต์ใช้
-สามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนการเรียนรวมระหว่างเด็กพิเศษกับเด็กปกติได้ถูกต้อง และมีความเหมาะสม
-นำไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต และต่อยอดทางการศึกษาต่อในระดับสูงต่อไป
ประเมินผล
ประเมินตนเอง
มารอเรียนก่อนเวลาเรียน แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม พยายามทบทวนเนื้อหาเวลาไม่เข้าใจในเนื้อหาบางส่วน
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆตั้งใจเรียน ไม่พูดคุยกันเสียงดัง ทุกคนให้ความร่วมมือในการตอบคำถามต่างๆจากอาจารย์ และจดบันทึกเนื้อหาต่างๆ
ประเมินอาจารย์
อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายเนื้อหาอย่างละเอียด และมีการยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้น