Turnip

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560
เวลาเรียน 8.30-12.30 น.

เนื้อหาที่เรียน


  ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงมีความเป็นเลิศทางสติปัญญาเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ
๐ เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
   -เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
   -มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
➩ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
   -พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
   -เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
   -อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
   -มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
   -จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
   -มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
   -มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
   -เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
   -มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
   -ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
๐ เด็กฉลาด
   -ตอบคำถาม
   -สนใจเรื่องที่ครูสอน
   -ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
   -ความจำดี
   -เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
   -เป็นผู้ฟังที่ดี 
   -พอใจในผลงานของตน
 ๐ Gifted 
   -ตั้งคำถาม 
   -เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
   -ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
   -อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
   -เบื่อง่าย  
   -ชอบเล่า 
   -ติเตียนผลงานของตน 
ตัวอย่างเด็กอัจฉริยะ
คิม อึงยอง Kim Ung-yong เป็นเด็กที่มี IQ สูงที่สุดในโลกและเป็นยอดอัจฉริยะระดับโลก
Akrit Jaswal เด็กที่มีความสามารถทางการแพทย์ ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ

Elaina Smith เด็กอายุ 7 ขวบ มีความสามารถในการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิต และจัดรายการวิทยุ

เด็กชาย ธนัช เปลวเทียนยิ่งทวี อัจฉริยะเด็กไทยที่มีความสามารด้านศิลปะ


                                   2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
                                     1.เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
                                     2.เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
                                     3.เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
                                     4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
                                     5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
                                     6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
                                     7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
                                     8. เด็กออทิสติก
                                     9. เด็กพิการซ้อน

1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
   หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
๐ เด็กเรียนช้า
  - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
  - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
  - ขาดทักษะในการเรียนรู้
  - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
  - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
➪สาเหตุของการเรียนช้า
   -ภายนอก
   -ภายใน
1. ภายนอก
   -เศรษฐกิจของครอบครัว
   -การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
   -สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
   -การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
   -วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
   -พัฒนาการช้า
   -การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน

- ระดับสติปัญญาต่ำ          - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
- อาการแสดงก่อนอายุ 18     - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง

➪พฤติกรรมการปรับตน
   -การสื่อความหมาย
   -การดูแลตนเอง
   -การดำรงชีวิตภายในบ้าน
   -การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
   -การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
   -การควบคุมตนเอง
   -การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
   -การใช้เวลาว่าง
   -การทำงาน
   -การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น

๐ เด็กปัญญาอ่อน
➠แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
 1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
   - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
   - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
 2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
   -ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นง่าย ๆ
   -กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
 3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
   - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
   - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
   - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
 4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
   -เรียนในระดับประถมศึกษาได้
   -สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
   -เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
⇨ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
   -ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
   -ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
   -ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
   -ทำงานช้า
   -รุนแรง ไม่มีเหตุผล
   -อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
   -ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome

สาเหตุ
   -ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
   -ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ


            -ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น             -อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
                 -ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก                      -ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
            -มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น                  -เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
            -หน้าแบน ดั้งจมูกแบน                    -ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
            -อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร     -บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
            -เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ   -มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
            -ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง   -มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด

          การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
                 -การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์     
                                            -อัลตราซาวด์  -การตัดชิ้นเนื้อรก -การเจาะน้ำคร่ำ  

2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
   หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก

๐ เด็กหูตึง
   หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้  
4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB 
   เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
   - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ 
   - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB 
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด 
   - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
   - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน 
   - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
   - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB 
   - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก 
   - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
   - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
   - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง 
   - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
๐ เด็กหูหนวก 
   - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
   - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
   - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
   - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
⇨ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
   -ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
   -ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
   -พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
   -พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
   -พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
   -เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
   -รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
   -มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
  - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
  - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
  - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
  - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
     ➠จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
๐ เด็กตาบอด 
  - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
  - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้ 
  - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท 
  - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
๐ เด็กตาบอดไม่สนิท
  - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา 
  - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ 
  - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น 
  - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
⇨ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
   -เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
   -มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
   -มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
   -ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
   -เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
   -ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
   -มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
-----------------------------------------------------------------


หลังจากเรียนเสร็จแล้ว นักศึกษาก็นำพวงมาลัยมาไหว้อาจารย์เบียร์และอาจารย์บาส เนื่องในวันครู ทุกคนต่างตั้งใจ และมีความสุข


การนำไปประยุกต์ใช้
   -สามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนการเรียนรวมระหว่างเด็กพิเศษกับเด็กปกติได้ถูกต้อง และมีความเหมาะสม   
   -นำไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต และต่อยอดทางการศึกษาต่อในระดับสูงต่อไป

ประเมินผล
 ประเมินตนเอง
   มารอเรียนก่อนเวลาเรียน แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม พยายามทบทวนเนื้อหาเวลาไม่เข้าใจในเนื้อหาบางส่วน

 ประเมินเพื่อน
   เพื่อนๆตั้งใจเรียน ไม่พูดคุยกันเสียงดัง ทุกคนให้ความร่วมมือในการตอบคำถามต่างๆจากอาจารย์ และจดบันทึกเนื้อหาต่างๆ

 ประเมินอาจารย์
   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายเนื้อหาอย่างละเอียด และมีการยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้น

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1 
วันพุธที่ 11 มกราคม 2560
เวลาเรียน 8.30-12.30 น.
เนื้อหาที่เรียน
   วันนี้เป็นอาทิตย์แรกที่เริ่มเรียนในรายวิชานี้ อาจารย์พูดคุยถามไถลนักศึกษา จากนั้นก็แจกแผ่นปั๊มมาเรียน และแจก Course Syllabus พร้อมกับอธิบายแนวการสอน และข้อตกลงต่างๆร่วมกัน หลังจากนั้นอาจารย์ก็เริ่มสอนเข้าสู่เนื้อหาในรายวิชา

คุณครูพูดคุยกับนักศึกษา
Course Syllabus และแผ่นปั๊มเข้าเรียน


เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with special needs )
  ➩ เด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ ( Early Childhood with special needs )

ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
   1. ทางการแพทย์
 มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า “เด็กพิการ” หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสีย สมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ 
   2. ทางการศึกษา
ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึง เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำ
เป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่่ใช้และการประเมินผล
    ➠สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษหมายถึง เด็กที่จะต้องให้ความช่วยเหลือ เพื่อที่จะให้เขาสามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
พฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
  ➤พัฒนาการ
        การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
        •ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  ➤เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
        •เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
        •พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน หรือทุกด้าน
        •พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้
  ➤ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
        ปัจจัยทางด้านชีวภาพ 
        •ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด     
        •ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด      
        •ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด 
  ➤สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
1. พันธุกรรม
    เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิด  มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย

Cleft Lip / Cleft Palate (ปากแหว่ง/เพดานโหว่)    Neurofbromatosis (โรคเท้าแสนปม)
             


 Albinism (โรคผิวเผือก)

 Thalassaemia (โรคเลือดจางหรือทาลัสซีเมีย)

2. โรคของระบบประสาท
      -เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรือ อาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย 
      -ที่พบบ่อยคืออาการชัก
3. การติดเชื้อ
      -การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก
      -นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม
      -โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
      -การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน
6. สารเคมี
     -ตะกั่วเป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด
     -มีอากาศซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุดๆ
     -ภาวะตับเป็นพิษ
     -ระดับสติปัญญาต่ำ
 6.1 แอลกอฮอล์
    -น้ำหนักแรกเกิดน้อย
    -มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก
    -พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง
    -เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
  Fetal alcohol syndrome, FAS
      1.ช่องตาสั้น   2.ร่องริมฝีปากบนเรียบ   3.ริมฝีปากบนยาวและบาง   
       4.หนังคลุมหัวตามาก   5.จมูกแบน   6.ปลายจมูกเชิดขึ้น
6.2 นิโคติน
    -น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์
    -เพิ่มอัตราการตายในวัยทารก
    -สติปัญญาบกพร่อง
    -สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหาด้านการเข้าสังคม
7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
8. สาเหตุอื่นๆ
 อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
   -มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
   -ปฏิกิริยาสะท้อน (primitive reflex) ไม่หายไป แม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป

➤แนวทางการวินิจฉัยเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
  1. การซักประวัติ
    -โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม
    -การเจ็บป่วยในครอบครัว
    -ประวัติฝากครรภ์ 
    -ประวัติเกี่ยวกับการคลอด      
    -พัฒนาการที่ผ่านมา     
    -การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง   
    -ปัญหาพฤติกรรม   
    -ประวัติอื่นๆ
➢เมื่อซักประวัติแล้วจะสามารถบอกได้ว่า
   -ลักษณะพัฒนาการล่าช้าเป็นแบบคงที่ หรือถดถอย
   -เด็กมีระดับพัฒนาการช้าหรือไม่ อย่างไร อยู่ในระดับไหน
   -มีข้อบ่งชี้ว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
   -สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร
   -ขณะนี้เด็กได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างไร
  2. การตรวจร่างกาย
   -ตรวจร่างกายทั่วๆไปและการเจริญเติบโต
   -ภาวะตับม้ามโต 
   -ผิวหนัง
   -ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอ
   -ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse)
   -ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
  3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
  4.การประเมินพัฒนาการ
   -การประเมินแบบไม่เป็นทางการ
➢การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
   -แบบทดสอบ Denver II
   -Gesell Drawing Test 
   -แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด - 5 ปี สถาบันราชานุกูล
   หลังจากนั้นอาจารย์ให้นักศึกษาวาดรูปตามจากสไลน์ของอาจารย์ ถ้าหากใครวาดไม่ได้หรือไม่ใกล้เคียง แปลว่ามีความผิดปกติ แต่ละภาพตั้งแต่ 1-11 เป็นช่วงลำดับอายุที่ควรวาดภาพได้ ดังนี้
ภาพวาดของฉัน

การนำมาประยุกต์ใช้
-สามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กพิเศษที่เรียนร่วมกับเด็กปกติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และควรรู้อะไร ควรทำอย่างไร นำมาใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ความพอดี
-สามารถนำมาเป็นความรู้เพื่อต่อยอดทางการศึกษา หรือการศึกษาต่อในอนาคตได้

ประเมินผล
 ประเมินตนเอง
   เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน พยายามทำความเข้าใจเนื้อหาให้ได้มากที่สุด และจดบันทึกเนื้อหาที่เป็นประเด็นสำคัญ

 ประเมินเพื่อน
   เพื่อนๆส่วนใหญ่เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน ช่วยกันตอบคำถาม และทุกคนให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆเป็นอย่างดี

 ประเมินอาจารย์
   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เเต่งกายสุภาพ มีการเตรียมการสอนมาดี อาจารย์น่ารักเป็นกันเอง และทุกครั้งจะมีการยกตัวอย่างจากในเนื้อหา ทำให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น