Turnip

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4
วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560
เวลาเรียน 8.30-12.30 น.
✴✴✴✴ศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง✴✴✴✴

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 25 มกราคม 2560
เวลาเรียน 8.30-12.30 น.


เนื้อหาที่เรียน
   
   ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)
   ๐ เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
      หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders) 
   -เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
   -ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
   -เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
   -เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"
2.ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
   -พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
   -การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
   -อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
   -จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
   -เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders)
   -ความบกพร่องของระดับเสียง
   -เสียงดังหรือค่อยเกินไป
   -คุณภาพของเสียงไม่ดี

✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴✴
  ๐ ความบกพร่องทางภาษา 
     หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)  
   -มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
   -มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
   -ไม่สามารถสร้างประโยคได้
   -มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
   -ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ
2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia 
   -อ่านไม่ออก (alexia)
   -เขียนไม่ได้ (agraphia )
   -สะกดคำไม่ได้
   -ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
   -จำคำหรือประโยคไม่ได้
   -ไม่เข้าใจคำสั่ง
   -พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
⇒Gerstmann’s syndrome
     ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia)
     ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria)
     คำนวณไม่ได้ (acalculia)
     เขียนไม่ได้ (agraphia)
     อ่านไม่ออก (alexia)
➤ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
    -ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
    -ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
    -ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
    -หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
    -ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
    -หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
    -มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
    -ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย


✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨

 5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments)
   -เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน     -อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
   -เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง        -มีปัญหาทางระบบประสาท
-มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
   ๐ โรคลมชัก (Epilepsy)
  -เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
  -มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
   -อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
   -มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
   -เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
   -เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
   -เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู
3.อาการชักแบบ Partial Complex
   -มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
   -เหม่อนิ่ง 
   -เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
   -หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
   -เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
   -เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น 

⇒การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก
   -จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
   -ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
   -หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
   -ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
   -จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
   -ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
   -ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ


    ซี.พี.(Cerebral Palsy)

   การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
   การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน 
1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)
  •spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
  •spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
  •spastic paraplegiaอัมพาตครึ่งท่อนบน
  •spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว

   2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง(athetoid , ataxia)

   -athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
   -ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน

3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed) 
      ๐ กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy)
      -เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว
      -เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
       -จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม 
   ✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩✩
๐ โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic)
   ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
    -ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
    -กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ



โปลิโอ (Poliomyelitis)

-มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม

โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta)

โรคศีรษะโต (Hydrocephalus)


โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

๐ โรคระบบทางเดินหายใจ
๐ โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
๐ โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
๐ โรคมะเร็ง (Cancer)
๐ เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)


แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency)


Lena Maria


Nick Vujicic

➤ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
   -มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
   -ท่าเดินคล้ายกรรไกร
   -เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
   -ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
   -มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
   -หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
   -หกล้มบ่อย ๆ
   -หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ
การนำมาประยุกต์ใช้
  -สามารถนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนการเรียนรวมระหว่างเด็กพิเศษกับเด็กปกติได้ถูกต้อง และมีความเหมาะสม   
   -นำไปใช้ในการเรียนการสอนในอนาคต และต่อยอดทางการศึกษาต่อในระดับสูงต่อไป

ประเมินผล
 ประเมินตนเอง
   มารอเรียนก่อนเวลาเรียน แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม พยายามทบทวนเนื้อหาเวลาไม่เข้าใจในเนื้อหาบางส่วน

 ประเมินเพื่อน
   เพื่อนๆตั้งใจเรียน ไม่พูดคุยกันเสียงดัง ทุกคนให้ความร่วมมือในการตอบคำถามต่างๆจากอาจารย์ และจดบันทึกเนื้อหาต่างๆ

 ประเมินอาจารย์

   อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายสุภาพเรียบร้อย อธิบายเนื้อหาอย่างละเอียด และมีการยกตัวอย่างเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้น